Top

อินเดีย มุมไบ ปูเน่ ไหว้พระพิฆเนศ 8 องค์ มหาเทพแห่งความสำเร็จ

ชื่อทัวร์ : อินเดีย มุมไบ ปูเน่ ไหว้พระพิฆเนศ 8 องค์ มหาเทพแห่งความสำเร็จ
สายการบิน : การบินไทย
ระยะเวลา : 6 วัน 4 คืน
ราคาเริ่มต้น : 36,999 บาท
วันที่เดินทาง

20 – 25 ม.ค. 67
20 – 25 ก.พ. 67
19 – 24 มี.ค. 67

รายละเอียดทัวร์

สายมู ทัวร์อินเดีย ไหว้พระอินเดีย ไปอินเดีย อินเดีย มุมไบ ปูเน่ สักการะขอพรพระพิฆเนศ

อินเดีย ไหว้พระพิฆเนศ 8 องค์ มหาเทพแห่งความสำเร็จ บิน TG 6 วัน 4 คืน
ที่สุดแห่งชื่อเสียง ที่สุดแห่งความศักดิ์สิทธิ์ นาทีนี้สายมูต้อง มูพระพิฆเนศเท่านั้น

ปูเน่ สถานที่สถิตองค์พระพิฆเนศ เช็คอินมุมไบ "ลอนดอนแห่งอินเดีย" แถมฟรี!! ร่ม Let′s go รวมผู้เชี่ยวชาญแนะนำสักการะบูชาพระพิฆเนศตลอดทริป รวมประกันการเดินทางและสุขภาพ ชมโรงแรมหรูในนครมุมไบ ดื่มด่ำกับความงดงาม "Shivaji"

 

 

วันแรก                   สุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ • มุมไบ อินเดีย     (-/-/บนเครื่อง)

16.00 น.        พร้อมกันที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตู 2 ROW Dเคาน์เตอร์สายการบินไทย          THAI AIRWAYS (TG)โดยมีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ทุกท่าน

18.55น.         ออกเดินทางสู่ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดิย โดยเที่ยวบินที่ TG 317(บริการอาหารบนเครื่อง)

22.00 น.        เดินทางถึง ท่าอากาศยานสนามนานาชาติ ฉัตรปาตี ศิวะจี เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย นำท่านผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองเป็นที่เรียบร้อย พบการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าหน้าที่

(เวลาท้องถิ่นของประเทศอินเดียช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 1.30 ชั่วโมง กรุณาปรับนาฬิกาของท่านเพื่อสะดวกในการนัดหมาย)

ที่พัก             KOHINOOR/ORCHID HOTEL หรือเทียบเท่า 4 ดาวที่เมืองมุมไบมาตรฐานประเทศอินเดีย

(โรงแรมที่ระบุในรายการทัวร์เป็นเพียงโรงแรมที่นำเสนอเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงแต่โรงแรมที่เข้าพักจะเป็นโรงแรมระดับเทียบเท่ากัน)

วันที่สอง       เมืองมุมไบ •วัดสิทธิวินายัก •ประตูสู่อินเดีย • วัดพระแม่ลักษมี • เมืองมหัต•               เทวสถานศรีวรทาวินายัก• เมืองปูเน่    (เช้า/กลางวัน/เย็น)

เช้า              บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม(มื้อที่ 1)

จากนั้น         นำท่านเดินทางเข้าสู่ วัดสิทธิวินายัก (Siddhivinayak Temple)

ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมุมไบ (บอมเบย์) องค์พระพิฆเนศที่นี่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากที่อื่นตรงที่งวงหันไปทางขวาถือว่าเป็นประธานของเทวรูปพระพิฆเณศทั้งหมดในโลก ผู้คนที่นับถือพระพิฆเนศทั้งในอินเดียและต่างประเทศ ต่างพากันไปสักการะบูชาและขอพรอย่างไม่ขาดสายผู้ที่มาสักการะพระองค์

จากนั้น         นำท่านสู่ ประตูสู่อินเดีย GATE WAYเป็นอนุสาวรีย์ซุ้มประตูโค้งแบบประตูชัย ที่ตั้งอยู่ในนครมุมไบ ประเทศอินเดีย ประตูสู่อินเดียสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จฯ เยือนนครมุมไบของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ พระนางมาเรียแห่งเท็ค เมื่อปี 1911 ณ บริเวณอะพอลโลบันเดอร์ สถาปัตยกรรมที่ใช้คือแบบอินเดีย-ซาราเซน (Indo-Saracenic) และอนุสาวรีย์สร้างด้วยหินบะซอลต์ ความสูง 26 เมตร (85 ฟุต) ใช้เวลาสร้างสำเร็จในปี 1924 ปัจจุบันใช้เป็นสัญลักษณ์สำหรับพิธีต้อนรับรัฐมนตรีใหม่ของนครมุมไบ และเช่นกัน เป็นทางเข้าประเทศอินเดียหากเดินทางมาทางมหาสมุทรอินเดีย ประตูสู่อินเดียตั้งอยู่หน้าน้ำที่อะพอลโลบันเดอร์ ในทางทิศใต้ของนครมุมไบ มองออกไปคือทะเลอาหรับบางครั้งเรียกว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งมุมไบ ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง

จากนั้น           นำท่านสักการะ วัดพระแม่ลักษมีเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของอินเดีย สร้างขึ้นในปี 1831 โดยพ่อค้าชาวฮินดู ภายในประดิษฐานเทวรูปทองคำ พระแม่ลักษมี (Mahalakshmi)ผู้ที่มากราบไหว้บูชาแห่งนี้ จะประสบแต่ความร่ำรวย ความสำเร็จ โชคลาภมากมาย , พระแม่กาลี (Mahakali)คือผู้ปกป้องเราจากสิ่งไม่ดี , พระแม่สุรัสวตี (Mahasaraswathi)คือผู้บันดาลความเฉลี่ยวฉลาด ปัญญาเป็นเลิศ การงานสำเร็จ ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นที่นิยมของชาวอินเดียเดินทางมากราบไว้สักการะมากมาย

เที่ยง            บริการอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหาร(มื้อที่ 2)

จากนั้น           เดินทางสู่เมืองมหัตระยะทางประมาณ80 กิโลเมตร ( ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.)

                        นำท่านสักการะแห่งที่ 1 เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีวรทาวินายัก(Shri Varad Vinayak)โดยองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และงวงหันไปทางซ้าย ภายในวิหารที่ประดิษฐานพระวรทาวินายกะแห่งนี้ได้รับแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันที่มีความเชื่อว่าไม่เคยมอดดับตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1892 โดยมี ปลายยอดโดมทำด้วยทองคำ และเป็นเทวสถานแห่งเดียวที่อนุญาตให้เข้าไปสักการะภายในวิหารได้ ภายนอกวิหารจะปรากฏช้างจำนวน 4 เชือก อยู่ทั้ง 4 ด้านผู้ใดที่มาสักการะ จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ลบล้างคุณไสย์ มนต์ดำต่างๆได้

เย็น             บริการอาหารเย็น ณ ห้องอาหารของโรงแรม(มื้อที่ 3)

ที่พัก            THE PRIDE/ORCHID HOTEL หรือเทียบเท่า 4 ดาว ที่เมืองปูเน่มาตรฐานประเทศอินเดีย

(โรงแรมที่ระบุในรายการทัวร์เป็นเพียงโรงแรมที่นำเสนอเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงแต่โรงแรมที่เข้าพักจะเป็นโรงแรมระดับเทียบเท่ากัน)

วันที่สาม       ปูเน่ •เทอูร์•เทวสถานศรีจินดามณี • โมเรกาวน์ • เทวสถานศรีมยุเรศวร • สิทธิเทก • เทวสถานศรีสิธิวินายกะ  • เมืองปูเน่   (เช้า/กลางวัน/เย็น)

เช้า              บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม(มื้อที่ 4)

จากนั้น         นำท่านเดินทางสักการะแห่งที่ 2เทวสถานศรีจินดามณี (Shri Chintamani)ตั้งอยู่ที่ เทอูร์ ห่างจากเมืองปูเน่ประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในเทวสถานในกลุ่มอัษฏวินายักกะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง เทวตำนานจากมุทคลปุราณะเล่าว่า กษัตริย์อภิจิต และ พระนางกุนวตี ทรงมีพระโอรสชื่อ คณราช ได้บำเพ็ญเพียรต่อองค์พระศิวะจนได้รับพรให้มีอำนาจเป็นใหญ่ในโลกทั้งสาม วันหนึ่งคณราชและกองทหารที่ติดตามออกมาล่าสัตว์ได้ผ่านมาทางอาศรมของ ฤาษีกปิละ (กปิล) จึงได้ขอพักเหนื่อยบริเวณอาศรม พระฤาษีมีความเมตตาให้การต้อนรับ พร้อมทั้งเชิญราชบุตรและผู้ติดตามกินอาหารที่อาศรม พระฤาษีใช้ แก้วจินตามณี (จินดามณี-แก้วสารพัดนึก) เนรมิตอาหารเลี้ยงคณราชและกองทหารทั้งหมด เมื่อคณราชทราบว่าพระฤาษีมีแก้วที่ทรงคุณวิเศษ เกิดความโลภอยากได้จินดามณีมาก ถึงกับเอ่ยปากขอเอาดื้อๆ ฝ่ายพระฤาษีเห็นว่าเป็นของประทานจากองค์พระอินทร์ จึงปฏิเสธ เมื่อขอไม่ได้คณราชจึงใช้กำลังแย่งชิงจินดามณีมาเป็นของตน อาศรมของพระฤาษีตกอยู่ในความลำบากเดือดร้อน เพราะขาดแคลนอาหารที่จะนำมาเลี้ยงคนในอาศรม ฤาษีกปิลจึงอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระคเณศ คืนนั้นคณราชฝันไปว่าฤาษีกปิลได้ยกกองกำลังมาเพื่อนำจินดามณีกลับคืน หนึ่งในพลเสนาของพระฤาษีได้ตัดหัวคณราชด้วยขวาน รุ่งเช้าจึงจัดแต่งกองกำลังเพื่อไปสังหารฤาษีกปิล พระคเณศเสด็จมาช่วยฤาษีกปิล ทำลายกองกำลังของคณราชจนหมดสิ้น คณราชเข้าต่อสู้กับองค์พระคเณศ สุดท้ายถูกพระคเณศสังหาร มหาราชอภิจิต บิดาของคณราช นำแก้วจินดามณีมาคืนแก่ฤาษีกปิล และขออภัยโทษในสิ่งที่คณราชทำ พระฤาษีอธิษฐานให้พระคเณศประทับอยู่ที่นี่ตลอดไป และได้ถวายแก้วจินดามณีนั้นประดับแด่องค์พระคเณศ พระคเณศที่เทวสถานแห่งนี้จึงมีพระนามว่า "ศรีจินดามณี"

ผู้มาสักการะองค์ "พระศรีจินดามณี" จะสมหวัง ดังได้อธิษฐานต่อลูกแก้วจินดามณี

จากนั้น           นำท่านเดินทางสักการะแห่งที่ 3เทวสถานศรีมยุเรศวร (Shri Mayureshwar)ประดิษฐานอยู่ที่ โมเรกาวน์(Morgaon) กษัตริย์จักรปาณี และ พระนางอัครา ได้ทำพิธีขอบุตรจาก สุริยเทพ เมื่อทรงครรภ์พระนางก็ไม่สามารถทนความร้อนแรงที่เกิดจากทารกในครรภ์ได้ จึงขับทารกออกจากครรภ์ และได้นำตัวอ่อนของทารกไปฝากไว้กับ พระสมุทร ในทะเล บังเกิดเป็นทารกที่มีกายสีแดง พระโอรสได้รับพระนามว่า สินธุ เพราะถือกำเนิดจากทะเล เมื่อสินธุเติบโตขึ้น บำเพ็ญตบะพร่ำสวดมนตราภาวนาต่อองค์พระสุริยเทพเป็นเวลาถึงสองพันปี จนสุริยเทพพอพระทัย จึงเสด็จมาให้พรสินธุขอพรให้เป็นอมตะ สุริยเทพประทานหม้อน้ำอมฤตโดยบอกว่า ตราบใดที่น้ำอมฤตนี้ยังอยู่ในท้อง ก็จะไม่มีผู้ใดฆ่าสินธุได้ เมื่อได้พรแล้วก็กลับมายังอาณาจักรสืบราชสมบัติต่อจากพระบิดา แต่นิสัยใจคอนั้นดุร้ายเหี้ยมโหดดังอสูร จับเทวดานางฟ้ากักขัง จนบรรดาทวยเทพต้องร่วมกันอ้อนวอนต่อองค์พระคเณศให้ช่วยเหลือ พระคเณศทรงประทับมาบนหลังนกยูง ใช้ขวานผ่าท้องสินธุ เอาหม้อน้ำอมฤตออกจากท้องแล้วสังหารสินธุด้วยการตัดหัว หลังจากที่หัวของสินธุขาดก็เกิดเป็นสีแดงสดใสสาดไปทั่วทั้งสวรรค์ บังเกิดเป็นผงเจิมสีแดงสดที่ใช้ในการบูชาเทพเจ้า ผงนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "ผงสินธู"  ผู้ที่มาสักการะองค์ "พระศรีมยุเรศวร" จะปราศจากอุปสรรคและอันตรายใดๆมาแผ้วพาน

เที่ยง                 äบริการอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหาร(มื้อที่ 5)

จากนั้น                   เดินทางสู่เมืองสิทธาเทกอยู่ห่างจาก เทอูร์ 74 กิโลเมตร ( ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชม. )

นำท่าน         เดินทางสักการะแห่งที่ 4เทวสถานศรีสิทธิวินายกะ (Shri Siddhivinayaka)ประดิษฐานอยู่ที่ สิทธาเทกในคเณศ ปุราณะ ได้กล่าวถึงตำนานเทวสถานแห่งนี้ว่า ในขณะที่ พระพรหม รังสรรค์โลกและสรรพสิ่งทั้งหลายอยู่นั้น ครั้งนั้นพระองค์ได้ให้กำเนิดเทวีขึ้น 2 องค์คือ พระนางพุทธิ และ พระนางฤทธิ  พระองค์ได้ประทานบุตรีทั้ง 2 องค์นี้ให้เป็นชายาแก่ พระคเณศ ในเวลานั้น องค์พระหริวิษณุเทพ (พระนารายณ์) อยู่ในระหว่างบรรทมสินธุ์ ณ เกษียรสมุทร มูลพระกรรณ(หรือขี้หู) ของพระวิษณุ 2 เม็ดได้ไหลออกมาจากพระกรรณ กลายเป็นอสูร 2 ตนคือ มาธุสูร และ ไกตภสูร พวกอสูรได้ก่อกวนองค์พระพรหมจนต้องเสด็จไปพึ่งพระวิษณุ เมื่อทราบเรื่องราวของอสูรแล้วจึงได้เสด็จไปปราบอสูรทั้งสอง แต่ก็ไม่สามารถกำราบอสูรลงได้ พระองค์จึงเสด็จไปพบองค์ พระศิวะ เพื่อปรึกษาหนทางที่จะปราบอสูร หลังจากนั้นองค์พระคเณศปรากฎต่อพระวิษณุและให้พรในการปราบอสูร พระวิษณุเทพจึงสามารถสังหารอสูรทั้งสองลงได้สำเร็จ หลังจากนั้นพระวิษณุจึงสร้างเทวสถานขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อครอบสวยัมภูมูรติของพระคเณศ ณ สถานที่แห่งนี้ที่ทำให้พระองค์มีชัยชนะในสงคราม พระคเณศได้ประทานนามแก่เทวสถานแห่งนี้ว่า "สิทธิวินายกะ"

ผู้ใดได้สักการะองค์ "ศรีสิทธิวินายัก" นี้จะประสบความสำเร็จในการงานทุกประการ

จากนั้น         เดินทางสู่เมืองปูเน่

เย็น              บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม(มื้อที่ 6)

ที่พัก            THE PRIDE/ORCHID HOTEL หรือเทียบเท่า 4 ดาว ที่เมืองปูเน่มาตรฐานประเทศอินเดีย

(โรงแรมที่ระบุในรายการทัวร์เป็นเพียงโรงแรมที่นำเสนอเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงแต่โรงแรมที่เข้าพักจะเป็นโรงแรมระดับเทียบเท่ากัน)

วันที่สี่           รันยันกาวน์ •วัดศรีมหาคณปติ•โอซาร์ • วัดศรีวิฆเนศวา• เลนยาตรี • วัดศรีคีรีจัตมา•ปูเน่       (เช้า/กลางวัน/เย็น)

เช้า              บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม(มื้อที่ 7)

จากนั้น           นำท่านเดินทางสักการะแห่งที่ 5วัดศรีมหาคณปติ (Sri Mahaganapati) แห่งเมือง รันยันกาวน์เทวตำนานเล่าว่า ขณะที่ฤาษีคฤตสมาชนั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาได้จามออกมาเป็นกุมารน้อยผิวสีแดง จึงสอนให้กุมารสวดบูชาต่อพระพิฆเนตร กุมารน้อยบำเพ็ญเพียรกว่าห้าพันปีทำให้พระพิฆเนศพอใจเป็นอย่างมากจึงประทานพรให้ แต่กุมารขอให้ตนเองมีอำนาจเหนือ 3 โลก พระพิฆเนศให้ตามที่ขอโดยการเนรมิตประสาท 3 หลัง คือประสาททองคำ ประสาทเงิน และประสาทโลหะให้ และตรัสว่า “ต่อไปนามของเจ้าคือ ตรีปุระ และวันใดที่เจ้าชั่วร้าย ประสาทเหล่านี้จะถูกทำลายและเจ้าจะถูกทำลายเสวยศรดอกเดียวของพระศิวะ บิดาแห่งข้า” ต่อมาตรีปุระลำพองตนรุกรานทั้ง 3 โลก องค์พระศิวะจึงเสด็จมาปราบ และหลังจากบวงสรวงต่อพระพิฆเนศแล้วพระศิวะก็ปราบตรีปุระได้สำเร็จ จึงเชื่อว่าเทวสถานแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พระศิวะบวงสรวงต่อพระพิฆเนศ การสักการะองค์ศรีมหาคณปติจะทำให้มีอำนาจยิ่งใหญ่ สามารถพิชิตมารร้ายและอุปสรรคทั้งหลายได้สำเร็จผู้ที่มาสักการะองค์ "ศรีมหาคณปติ" ที่นี่จะได้รับความสำเร็จสบปรารถนา

เที่ยง                 บริการอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหาร(มื้อที่ 8)

จากนั้น         เดินทางสู่เมืองโอซาร์(ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชม.)นำท่านเดินทางสักการะแห่งที่ 6 วัดศรีวิฆเนศวา (Sri Vighneshwar)ประดิษฐานอยู่ที่ โอซาร์เทวะสถานแห่งนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องความงดงามทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะยอดโดมที่เป็นทองคำและความงดงามของพวงมาลัยที่ประดับอยู่ที่ตัวเทวาลัย นามขององค์ศรีวิฆเนศวรมาจากเทะวตำนานว่า กษัตริย์ อภินันทะประกอบพิธีบูชายัญเพื่อจุติมาเป็นอินทรเทพ พระอินทร์ได้ทราบดังนั้นจึงสร้างวิฆนาสูรเพื่อส่งไปทำลายพิธีกรรมของกษัตริย์อภินันทะ แต่อสูรตนนี้กลับทำลายพิธีทั้งหมดทำให้ธรรมะเลือนหายไปจากทั้งสามโลก เหล่าฤาษีนักบวชจึงอ้อนวอนต่อพระพิฆเนศให้เสด็จมาปราบอสูร พระพิฆเนศใช้อำนาจสยบอำนาจทั้งหมดของอสูรทำให้วิฆนาสูรยอมแพ้และถวายตัวต่อองค์พระพิฆเนศเพื่อให้ไว้ชีวิตตนและขอร้องให้องค์พระพิฆเนศใช้ชื่อของตัวเองรวมกับพระนามของพระองค์เพื่อล้างบาปและเป็นบุญกุศลแก่อสูร เทวรูปพระพิฆเนศที่นี่จึงถูกขนานนามว่า “ศรีวิฆเนศวร” หมายถึงผู้ขจัดอุปสรรคและภยันตราย

เชื่อว่าผู้ที่มาสักการะองค์ศรีวิฆเนศวรก่อนทำการใดๆ จะทำการนั้นได้สำเร็จราบรื่น ไร้อุปสรรค

นำท่านเดินทางสู่เมืองเลนยาตรี( ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชม.)

จากนั้น           นำท่านเดินทางสักการะแห่งที่ 7 วัดศรีคีรีจัตมา (Sri Girijatmaj)ประดิษฐานอยู่ที่ เลนยาตรี ตั้งอยู่ในถ้ำบนภูเขาริมแม่น้ำกุกดี เมืองเลนยาตรี (Lenyadri) ซึ่งครั้งหนึ่งถ้ำที่ภูเขาแห่งนี้ ได้ขุดเจาะเพื่อเป็นวัดในพระพุทธศาสนา หลังจากพระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อม ศาสนาฮินดูก็รุ่งเรือง และภายในถ้ำแห่งนี้ก็เกิดปาฏิหาร มีพระพิฆเนศเกิดขึ้นมาทำให้ชาวฮินดูขึ้นมายาตรามหาเทพ จึงทำให้ถ้ำแห่งนี้กลายเป็นถ้ำของพระพิฆเนศ การสักการะองค์พระพิฆเนศ จะต้องขึ้นบันได 283 ขั้น เทวะตำนานแห่งนี้เล่าว่า พระแม่ปารวตี (พระอุมาเทวี) ต้องการโอรสมากจึงได้ทำพิธีปันยากพรต (บุญยักวริตะ) ขึ้นเพื่อเป็นการบูชาต่อพระวิษณุเทพ ตามการแนะนำของพระศิวะเป็นเวลาหนึ่งปี ทำให้พระวิษณุโปรดปราณมาก จึงให้พระกฤษณะไปกำเนิดเป็นบุตรของพระแม่อุมาเทวี และสถานที่ที่พระแม่อุมากระทำพิธีก็คือเทวะสถานคีรีจัตมาแห่งนี้นี่เอง จึงเชื่อกันว่า พระพิฆเนศเป็นอวตารปางหนึ่งของพระกฤษณะด้วยการยาตรามายังถ้ำเทวะสถานคีรีจัตมาแห่งนี้ก็เพื่อขอบุตร ซึ่งผลบุญแห่งการยาตรามาแสวงบุญนี้จะทำให้ผู้ที่ยังไม่มีบุตรและมาประกอบพิธีขอบุตรที่นี่จะประสบความสำเร็จสมหวังเสมอและ จะได้บุตรที่ดีเฉลียวฉลาดและมีปัญญาหลักแหลมเหมือนดังองค์พระคเนศ และที่บริเวณถ้ำแห่งนี้สามารถชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเลนยาตรีได้อีกด้วย

เย็น              บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม(มื้อที่ 9)

ที่พัก            THE PRIDE/ORCHID HOTEL หรือเทียบเท่า 4 ดาว ที่เมืองปูเน่มาตรฐานประเทศอินเดีย

(โรงแรมที่ระบุในรายการทัวร์เป็นเพียงโรงแรมที่นำเสนอเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงแต่โรงแรมที่เข้าพักจะเป็นโรงแรมระดับเทียบเท่ากัน)

วันที่ห้า         ปูเน่ •องค์ดั๊กดูเศรษฐ์ ฮาลไว คณาปิติ•เมืองปาลี •เทวสถานศรีบัลลาเลศวา • มุมไบ• สนามบินมุมไบ     (เช้า/กลางวัน/เย็น)

เช้า              äบริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม(มื้อที่ 10)

จากนั้น            นำท่านสักการะองค์ดั๊กดูเศรษฐ์ ฮาลไว คณาปิติ(Dagadusheth Halwai Ganapati)ประดิษฐานอยู่ที่ เทวลัยพระพิฆเนศวร เมืองปูเน่เป็นองค์พระพิฆเนศหล่อจากทองคำ ตกแต่งด้วยเครื่องทรงและเครื่องประดับจากทองคำแท้ ความสูง 7.5 ฟุต เชื่อกันว่าผู้ใดที่ได้มาสักการะจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ร่ำรวยเงินทองแบบมหาศาล

จากนั้น            เดินทางสู่เมืองปาลี (PALI)(ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ช.ม.)  นำท่านสักการะแห่งที่ 8 เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีบัลลาเลศวา (Shri Ballaleshwar Pali)โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และงวงหันไปทางซ้าย บริเวณพระเนตร และพระนลาฏ (หน้าผาก) ประดับด้วยเพชร ประทับอยู่บนบัลลังก์ไม้แกะสลัก โดยมี มุสิกะ หนูเทวพาหนะของพระองค์ท่าน เหยียบขนมโมทกะอยู่บริเวณด้านหน้าของเทวรูปบริเวณด้านหลังเทวสถานแห่งนี้จะปรากฏ เทวสถานศรีทุนธิ (Shree Dhundi Temple) ที่ประดิษฐานหินพระคเณศ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นหินพระเคณศเดียวกับที่ถูกนายกัลยัน บิดาของ เด็กหนุ่มบัลลาเขวี้ยงทิ้งผู้ใดที่มาสักการะจะได้รับความสุขทั้งครอบครัว

เที่ยง                  äบริการอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหาร(มื้อที่ 11)

จากนั้น                     นำท่านเดินทางกลับเมือง มุมไบ( ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง)

เย็น              บริการอาหารเย็น ณ ร้านอาหาร(มื้อที่ 12)

ได้เวลาอันสมควร เดินทางเข้าสู่ สนามบินมุมไบ ประเทศอินเดียเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

โดยเที่ยวบินที่TG 318(บริการอาหารบนเครื่อง)

23.20 น.      ออกเดินทางจากสนามบินมุมไบ มุงหน้าสู่ ประเทศไทย

วันที่หก        สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ      

05.05+1 น.  เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจมิรู้ลืม