Top

บินไกลไปอเมริกา

บินไกลไปอเมริกา
เอาล่ะ...เมื่อความฝันเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ทีละนิด เราก็ต้องมาเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อที่จะได้สนุกสนานกับจุดปลายหมายทางได้อย่างเต็มที่ สิ่งแรกเรามาเก็บข้อมูลที่เที่ยวเด่น ๆ ของสหรัฐอเมริกากันก่อนดีกว่า เวลาที่มีโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินออกมา จะได้กดจองจุดหมายปลายทางกันได้ทันที งั้นมาเริ่มกันเลย !
 
 
1. อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) นครนิวยอร์ก
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ สัญลักษณ์สำคัญของประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่บนเกาะลิเบอร์ตี อ่าวนิวยอร์ก สร้างด้วยโลหะสำริด มีลักษณะเป็นรูปร่างผู้หญิง สวมใส่ผ้าคลุมไหล่ ถือคบเพลิงอยู่ที่มือด้านขวา และถือหนังสือกฎหมายอยู่ที่มือด้านซ้าย ซึ่งมีวันที่ของการลงนามคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา (The Declaration of Independence) เขียนไว้เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้กับอเมริกาในวันครบรอบ 100 ปีแห่งอิสรภาพ จากฐานของเทพีเสรีภาพจนถึงปลายของคบเพลิงสูงประมาณ 93.3 เมตร ซึ่งถ้าหากได้ไปยืนที่ฐานจะเห็นถึงความใหญ่โตมโหฬารของเทพีเสรีภาพ นักท่องเที่ยวยังสามารถขึ้นบันไดวน 162 ขั้น เพื่อไปชมวิวเมืองนิวยอร์กจากบนยอดมงกุฎได้อีกด้วย
 
 
2. สะพานโกลเดนเกต (Golden Gate Bridge) เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย
สะพานโกลเดนเกต ตั้งอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย มีลักษณะเป็นสะพานแขวนยาวเชื่อมระหว่างตัวเมืองซานฟรานซิสโกกับ Marin Headlands มีความยาวประมาณ 1.7 ไมล์ มีสีส้มสดใส เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1937 โดยบนสะพานจะมีช่องเดินรถสำหรับรถยนต์ 3 ช่องทาง และสำหรับรถไฟ 2 ช่องทาง ซึ่งทำให้การจราจรในซานฟรานซิสโกสะดวกขึ้นมาก ๆ และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดโดดเด่นของสหรัฐอเมริกาไปโดยปริยาย ซึ่งในช่วงที่มีหมอกสะพานแห่งนี้จะมีความสวยงามมาก ๆ คุณจะเห็นสะพานสีส้มโผล่ขึ้นมาท่ามกลางหมอกสีขาวอย่างสง่างาม เป็นภาพที่อยากให้คุณได้ไปสัมผัสกันสักครั้ง
 
 
3. น้ำตกไนแองการา (Niagara Falls) รัฐนิวยอร์ก
น้ำตกไนแองการา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนของสหรัฐอเมริกา ที่รัฐนิวยอร์ก และประเทศแคนาดา ที่เมืองโทรอนโต รัฐออนแทรีโอ ซึ่งเป็นน้ำตกที่อยู่บนแม่น้ำไนแองการา เมื่อมวลน้ำมหาศาลมาสู่จุดที่แผ่นดินยุบตัว จึงกลายเป็นน้ำตกขนาดมหึมา มีทั้งหมด 3 แห่งในบริเวณเดียวกัน คือ American Falls, Bridal Veil Falls และ Canadian Falls นักท่องเที่ยวสามารถที่จะนั่งเรือเข้าไปชมน้ำตกได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเห็นความยิ่งใหญ่ของน้ำตกที่สูงมากกว่า 50 เมตร และกว้างมากกว่า 300-800 เมตร (American Falls และ Bridal Veil Falls สูง 53.6 เมตร กว้าง 323.08 เมตร ส่วน Canadian Falls สูง 50.9 เมตร กว้าง 792.4 เมตร) สามารถไปเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี แต่หน้าหนาวจะหนาวมาก และน้ำตกจะเป็นน้ำแข็ง
 
4. แอนเทอโลป แคนยอน (Antelope Canyon) รัฐแอริโซนา
แอนเทอโลป แคนยอน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเมือง Page รัฐแอริโซนา (Arizona) มีลักษณะเป็นหุบเขาหินทรายสีแดง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Upper Antelope Canyon และ Lower Antelope Canyon เกิดจากการที่น้ำ ลม และแสงแดด ได้กัดเซาะพื้นที่บริเวณนี้มาเป็นระยะเวลานาน จนทำให้เกิดเป็นร่องหิน สีสันสวยงาม บางจุดจะมีทางเดินให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมความสวยงามของชั้นหินอย่างใกล้ชิด และสามารถมองเห็นแสงแดดที่ส่องลอดผ่านลงมายังด้านในได้อย่างตราตรึงใจสุด ๆ
 
 
5. ทะเลสาบ Crater Lake รัฐออริกอน
ทะเลสาบ Crater Lake ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติ Crater Lake รัฐออริกอน เป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ลึกที่สุดในอเมริกา ด้วยความลึก 1,943 ฟุต ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังเป็นทะเลสาบที่สวยงามที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย ทะเลสาบ Crater Lake เกิดจากการที่ภูเขาไฟระเบิดและดับลงเมื่อประมาณ 7,700 ปีที่แล้ว เมื่อมีฝนตกและหิมะในฤดูหนาวละลายก็กลายเป็นทะเลสาบสีฟ้าใสอันสวยงาม ซึ่งล้อมรอบไปด้วยหน้าผาหินปากปล่องภูเขาไฟ และป่าสนสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์ และภายในทะเลสาบยังมีเกาะ Wizard ตั้งอยู่ด้วย สร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับที่นี่ได้อย่างดีเยี่ยม นักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวได้ทุกฤดูกาล เพราะมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี บรรยากาศดี เงียบสงบ
 
6. บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก (Grand Prismatic Spring) รัฐไวโอมิง
บ่อน้ำพุร้อนที่มีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) รัฐไวโอมิง (Wyoming) ถ้าคุณได้เข้าไปยืนใกล้ ๆ จะเห็นถึงความยิ่งใหญ่อลังการของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ เพราะมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างมากถึง 370 เมตร ลึกประมาณ 121 เมตร ที่สำคัญบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ยังมีสีสันที่สวยงามบาดตา ซึ่งบริเวณขอบบ่อจะไล่จากสีน้ำตาลเข้มไปจนเป็นสีเหลืองอ่อน และน้ำก็จะไล่จากสีฟ้าอ่อนไปจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มที่กลางบ่อ ยิ่งถ้าได้มองทางอากาศจะยิ่งเห็นความสวยงามของบ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก
 
 
7. Mendenhall Glacier รัฐอะแลสกา
รัฐอะแลสกา เมืองแห่งน้ำแข็งอันเป็นจุดหมายปลายทางที่คนทั่วโลกอยากไปสัมผัสกันสักครั้ง เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติที่สวยงามตามแบบฉบับของอเมริกาเหนือ มีทะเลสาบที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็ง ภูเขาลูกใหญ่มหึมาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะมากมาย อีกทั้งธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่จะทำให้คุณตะลึงกับธรรมชาติแห่งอะแลสกาไปเลยทีเดียว โดยเฉพาะธารน้ำแข็ง Mendenhall ในเมือง Juneau ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 1,500 ตารางไมล์ นักท่องเที่ยวควรใช้บริการของบริษัททัวร์ท้องถิ่น เพื่อเที่ยวชมธารน้ำแข็งแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัยและทั่วถึง เมื่อไปถึงที่นี่แล้วก็อย่าลืมที่จะบอกไกด์ให้พาเข้าไปชมถ้ำน้ำแข็งสีฟ้าใสราวกับคริสตัลกันด้วยนะคะ :)
 
 
8. บิ๊กเซอร์ (Big Sur) รัฐแคลิฟอร์เนีย
ถ้าถามถึงเส้นทางการขับรถเที่ยวแบบบรรยากาศดี วิวสวยอันดับต้น ๆ ของโลก ชื่อของบิ๊กเซอร์ จะต้องเป็น 1 ในนั้นแน่นอน เพราะเป็นถนนที่สร้างขึ้นเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งตลอดทั้งเส้นทางจะมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้เที่ยวชมเยอะมาก ๆ วิวของท้องทะเลและหน้าผาหินริมชายฝั่งทะเล ที่ถูกปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าสีเขียว ช่างเข้ากันสุด ๆ ลองนึกภาพการได้ขับรถเล่นไปเรื่อย ๆ ริมชายฝั่งทะเล มีหาดทรายให้ได้แวะพักนั่งเล่น อากาศเย็นสบาย สดชื่น มันจะฟินขนาดไหนนะ
 
 
9. The Palouse รัฐวอชิงตันและรัฐไอดาโฮ
The Palouse ดินแดนแห่งเนินมหัศจรรย์ พื้นที่ทำการเกษตรที่มีความสวยงามจนน่าทึ่ง เพราะพื้นที่โดยรอบของ Palouse จะเป็นเนินเล็ก ๆ ขึ้น-ลงสลับซับซ้อนกันไปเป็นพื้นที่กว้างมากกว่า 4,000 ตารางไมล์ คุณจะได้เห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีสุดกว้างใหญ่ สลับไปกับทุ่งข้าวบาร์เลย์ ยิ่งในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว สีเหลืองทองของทุ่งข้าวบาร์เลย์ก็จะไล่เรียงสลับสีสันกันไป มีโรงนาสีแดงสดสวย ๆ ตั้งอยู่กลางทุ่งอย่างโดดเด่น สวยงามจนอยากให้ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองกันสักครั้ง
 
 
10. อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย
อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สวยงาม มีภูเขารูปโดมครึ่งซีกและน้ำตกขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์ จุดท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวและช่างภาพจะอยู่บริเวณ Mirror Lake เพราะสามารถมองเห็นภาพของท้องฟ้าและภูเขาสะท้อนลงน้ำได้อย่างอลังการ ราวกับภาพในนิยายเลยทีเดียว นอกจากนี้ภายในอุทยานแห่งชาติโยเซมิตียังมีเส้นทางเดินป่าสนุก ๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้าโชคดีก็จะได้เห็นสัตว์ป่าแบบใกล้ชิดอีกด้วย อ้อ...ควรอ่านคู่มือข้อปฏิบัติเวลาเจอหมีกริซลีด้วยนะคะ เพราะที่นี่มีหมีกริซลี 300-500 ตัวเลยทีเดียว